Home ข่าวสรุปตลาดสรุปภาพรวมตลาด และ ราคา Bitcoin วันที่ 8 เมษายน

สรุปภาพรวมตลาด และ ราคา Bitcoin วันที่ 8 เมษายน

by กำพล เชาว์รัตนะ
สรุปภาพรวมตลาด ราคาบิทคอยน์ วันที่ 8 เมษา 2025

สวัสดีครับ กลับมาพบกับทุกท่านอีกครั้ง เพื่อสรุปภาพรวมตลาดและราคา Bitcoin ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ซึ่งมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและ หลากหลาย จากหลายสำนักข่าวเลยทีเดียวครับ

ข่าวสำคัญที่ส่งผลต่อราคาบิทคอยน์ในช่วง 1-2 วันนี้:

  1. ความผันผวนของตลาดการเงินโลกส่งผลกระทบต่อบิทคอยน์: เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2025 ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความปั่นป่วนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์ลดลงต่ำกว่า $75,000 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การฟื้นตัวหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์เคยแสดงการสนับสนุนต่ออุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะเมื่อบิทคอยน์ทะลุ $100,000 ในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีนี้ ราคาบิทคอยน์มีแนวโน้มลดลง ผู้เชี่ยวชาญเช่น Garrick Hileman วิเคราะห์ว่าบิทคอยน์ยังไม่สามารถพิสูจน์ตนเองเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน โดยมีพฤติกรรมคล้ายกับหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง
    https://apnews.com/article/trump-bitcoin-crypto-tariffs-ether-4b59eeac841cb1dd1b71d7fec14be94e
  2. ความกังวลเกี่ยวกับแนวรับที่สำคัญของบิทคอยน์: นักวิเคราะห์เตือนว่าการฟื้นตัวของบิทคอยน์อาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เนื่องจากเมื่อวันที่ 7 เมษายน ราคาลดลงถึง $74,436 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน ก่อนที่จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ประมาณ $79,000 อย่างไรก็ตาม ราคายังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $109,225 ซึ่งทำได้เมื่อวันที่ 20 มกราคม ในช่วงพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีทรัมป์ นักวิเคราะห์เตือนว่าหากบิทคอยน์ทะลุระดับแนวรับที่ $73,745 อาจทำให้ราคาลดลงไปสู่ช่วง $55,000–$57,000 นอกจากนี้ ดัชนีความผันผวน Cboe (VIX) ที่เพิ่มขึ้นถึง 48.4 บ่งชี้ถึงความกลัวในตลาดที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในบิทคอยน์
  3. การฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และผลกระทบต่อบิทคอยน์: ในช่วงเช้าของวันที่ 8 เมษายน 2025 ดัชนีฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์สเพิ่มขึ้น 1.56% และดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเพิ่มขึ้น 2.01% หุ้นของบริษัท StandardAero Inc. (SARO) และ Clearwater Analytics Holdings Inc. (CWAN) มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากที่ 19.6% และ 17.7% ตามลำดับ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent และทองคำฟิวเจอร์สก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่บิทคอยน์เพิ่มขึ้น 1.55% มาอยู่ที่ $79,272 การฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในบิทคอยน์ เนื่องจากบิทคอยน์มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน
  4. ความผันผวนของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีและบิทคอยน์: หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศสงครามการค้ากับหลายประเทศ ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความปั่นป่วนอย่างมาก ส่งผลให้บิทคอยน์ลดลงจากเกือบ $90,000 มาอยู่ที่ประมาณ $78,800 โดยเคยลดลงต่ำสุดที่ประมาณ $74,000 การลดลงนี้เป็นการลดลงอย่างรวดเร็วจากจุดสูงสุดในเดือนมกราคมที่มากกว่า $100,000 ความผันผวนนี้ไม่เพียงส่งผลต่อบิทคอยน์เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ ด้วย แม้ว่าบิทคอยน์จะถูกมองว่าเป็นสกุลเงินที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาล แต่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน มันกลับไม่สามารถทำหน้าที่เป็นที่หลบภัยได้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาบิทคอยน์ในช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนทั่วไปและการเก็งกำไร มากกว่าการยึดมั่นในอุดมการณ์ดั้งเดิม
Please enter and activate your license key for Cryptocurrency Widgets PRO plugin for unrestricted and full access of all premium features.

ภาพรวมราคาบิทคอยน์

จากข่าวสารสำคัญที่กล่าวไปในตอนต้น เราสามารถเห็นได้ว่า แม้บิทคอยน์จะยังคงมีเสถียรภาพในระดับหนึ่งเหนือ $79,000 แต่แรงกดดันจากปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนของตลาดโลก การฟื้นตัวของหุ้น และความวิตกกังวลในแนวรับ ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยปัจจัยเหล่านี้มีผลดังนี้:

การตอบสนองของนักลงทุน

ในช่วงตลาดมีความไม่แน่นอน นักลงทุนรายใหญ่ (whales) มีการเคลื่อนย้ายเหรียญเข้าสู่ Exchange หลายแห่งเพิ่มขึ้นกว่า 12% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า ซึ่งมักบ่งชี้ถึงความต้องการ “ขาย” หรือ “ทำกำไร” ขณะที่นักลงทุนรายย่อยบางกลุ่มกลับมองว่านี่คือโอกาสในการ “ซื้อช่วงย่อตัว” (buy the dip)

นอกจากนี้ Wallet ที่มีบิทคอยน์มากกว่า 1,000 BTC (กลุ่มสถาบัน) มีการลดจำนวนลงต่อเนื่องจากต้นเดือนเมษายน สะท้อนถึงความลังเลในการถือครองระยะยาวในช่วงเวลานี้

ความเคลื่อนไหวของตลาดอนุพันธ์

ตลาดฟิวเจอร์สของบิทคอยน์บนแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ อย่าง CME และ Binance มี Volume การซื้อขายเพิ่มขึ้นกว่า 30% ภายใน 24 ชั่วโมงล่าสุด สัญญาณ Open Interest ยังคงอยู่ในระดับสูง แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดและแรงดันของการเก็งกำไร

ค่า Funding Rate บนแพลตฟอร์มส่วนใหญ่ปรับเป็นบวกเล็กน้อย แสดงว่ามีแรง Long เพิ่มขึ้น แม้ราคาจะมีการสวิงแรง

ความเชื่อมั่นในตลาด (Market Sentiment)

  • ดัชนี Fear & Greed Index สำหรับคริปโตอยู่ที่ระดับ “Neutral” (คะแนน 51/100) ลดลงจากระดับ “Greed” เมื่อสัปดาห์ก่อน (62/100) สะท้อนถึงความลังเลใจและการรอจังหวะของนักลงทุน
  • ปริมาณการค้นหา “Bitcoin crash” และ “Bitcoin support” เพิ่มขึ้นใน Google Trends กว่า 45% เมื่อเทียบกับช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้า

แนวโน้มในระยะถัดไป (Technical & Fundamental Outlook)

จากมุมมองทางเทคนิค:

  • เส้น EMA 50 วันยังคงอยู่เหนือ EMA 200 วัน แสดงสัญญาณขาขึ้น (Golden Cross) ยังคงอยู่
  • แต่ MACD บนกราฟรายวันเริ่มส่งสัญญาณ Divergence ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้น

จากมุมมองพื้นฐาน:

  • ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) โดยเฉพาะกรณีของสหรัฐฯ-จีน และความเคลื่อนไหวของ Fed ยังเป็นปัจจัยที่ควรจับตา
  • การรอคอย Bitcoin Halving ในเดือนเมษายน 2028 เริ่มมีการพูดถึงในแวดวงนักลงทุนสถาบัน ซึ่งอาจกระตุ้นการสะสมระยะยาว

สรุปแนวโน้มในระยะสั้น:

ปัจจัยผลกระทบคำอธิบาย
ความกังวลแนวรับ $73,745ลบหากทะลุลง อาจเกิด Panic Sell
แนวต้าน $81,500บวกหากผ่านได้ อาจไปต่อถึง $85,000
ตลาดหุ้นฟื้นตัวบวกเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุน
ความผันผวนสูงลบนักลงทุนระยะสั้นอาจถอนทุน

แนวรับ แนวต้าน และกรอบราคาที่สำคัญ (ณ วันที่ 8 เมษายน 2568):

จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคเบื้องต้น (ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา)
กรอบราคาและแนวรับแนวต้านที่สำคัญของ Bitcoin ในช่วงนี้อาจมีดังนี้:

แนวรับ: $73,745 เป็นระดับแนวรับที่สำคัญ หากราคาลดลงต่ำกว่าระดับนี้ อาจมีโอกาสลดลงไปสู่ช่วง $55,000–$57,000 ​

แนวต้าน: ระดับ $81,500 เป็นแนวต้านแรก ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci retracement 76.4% ของการลดลงล่าสุดจาก $83,680 หากสามารถทะลุผ่านได้ อาจมีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับ $85,470 และ $92,950 ตามลำดับ
โดยมีแนวต้านที่น่าสนใจคือ

กรอบราคา

ในระยะสั้น บิทคอยน์มีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง $74,000 ถึง $81,500 โดยมีความผันผวนสูง เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน​

ข้อควรระวัง:

ข้อมูลแนวรับแนวต้านและกรอบราคาที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิคเบื้องต้น ณ เวลาปัจจุบัน และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ตลาดและข่าวสารใหม่ๆ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายแหล่ง และใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุนเสมอครับ

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:

ระวังข่าวเศรษฐกิจจาก Fed และ BOJ ที่จะออกภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความผันผวนเพิ่มเติม

นักลงทุนรายวัน (Day Traders): ควรติดตามแนวรับ $75,000 อย่างใกล้ชิด พร้อม Stop-loss หากหลุดแนวรับดังกล่าว

นักลงทุนระยะกลางถึงยาว: อาจเริ่มสะสมในโซน $74,000–$76,000 หากมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานระยะยาว โดยใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging)

Related Posts

แสดงความคิดเห็น